Passion Management ทำยังไงเมื่อพนักงาน เริ่มหมดใจกับการทำงาน
"อร๊าย! วันจันทร์อีกแล้วเหรอ"
เสียงบ่นเล็กๆ เหล่านี้ ผู้บริหารไม่ควรมองข้ามนะคะ เพราะมันคือ สัญญาณที่พนักงานกำลังบอกว่าพวกเขากำลังเริ่มหมดใจกับการทำงาน
นนี้มีโอกาสได้ถ่ายเรื่อง Passion Management มีบางประเด็นที่อยากนำมาแชร์ค่ะผู้เรียนท่านหนึ่งรู้สึกตื่นมาแล้วไม่อยากมาทำงาน เพราะเบื่อหน่ายที่จะต้องไปเจอหัวหน้างาน/เพื่อนร่วมงานที่รู้สึกไม่โอเค รู้สึกว่าต้องทนทำงานเพราะความจำเป็นเรื่องรายได้
เชื่อว่าอารมณ์แบบนี้หลายคนก็เป็น เพราะตัวเองก็เคยเป็นเหมือนกัน 555 แต่โชคดีที่สามารถหาวิธีจัดการความคิดลบๆ ของตัวเองได้เร็ว จึงพอจะรับมือได้
โพสนี้ฝากสำหรับผู้นำองค์กร หรือ ผู้บริหารระดับสูงเป็นพิเศษ เพราะท่านคือคนที่จะทำให้บรรยากาศที่แย่ๆ เปลี่ยนเป็นดีได้ และเปลี่ยนได้เร็วมากๆ ด้วยค่ะ เพราะท่านมีอิทธิพลต่อทีมงานของท่านมากๆ อาจจะยาวซักนิดนึง ค่อยๆ อ่านนะคะ
1. ผู้บริหารที่อยากได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจากพนักงานของท่าน ท่านต้องใส่ใจทั้งผลงาน (Work) และ คนทำงาน (Life) ควบคู่ไปด้วยกัน ยุคนี้เป็นยุคของ AI ก็จริง แต่ผลงานที่เหนือความคาดหมายมักมาจากคนที่ทำงานที่มีความสุข ยังไม่ต้องคิดถึงความเลอเลิศเรื่องเงินเดือนว่าต้องสูงเป็นอันดับต้นๆ แค่หาให้เจอว่า ทุกวันที่เขามาทำงานเขาต้องทนกับอะไรบ้าง หาให้เจอว่า มีอะไรที่บริษัทจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้พวกเขาได้บ้าง เท่านี้พนักงานก็รักบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นกองแล้วล่ะคะ
2. ปรับบรรยากาศที่ทำงานที่เขาต้องเจอทุกๆ วัน และใช้เวลามากกว่าที่บ้านเสียใหม่ พูดง่ายๆ รูป รส กลิ่น เสียง ลองวิเคราะห์ดูว่า คนของเราน่าจะฟินในบรรยากาศแบบไหนรูป : สิ่งที่ตามองเห็น ที่ทำงานสะอาด ปลอดภัย ตกแต่งให้น่ารื่นรมย์ มีต้นไม้ ใบหญ้า อากาศถ่ายเท มีที่นั่งพักผ่อน มุมต่างๆ ให้ได้เปลี่ยนจากโต๊ะทำงานมุมเดิมๆ ที่จำเจ เชื่อเถอะว่า เพียงแค่เปลี่ยนที่นั่ง ก็เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นได้
รส : จัดอาหารว่าง ผลไม้ฟรี น้ำสมุนไพร หรือจะเลี้ยงกาแฟ สัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง อาจจะไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรมากนัก แต่คนทำงานรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจจัง
กลิ่น : ถ้าทำให้มีกลิ่นอโรม่าอ่อนๆ ก็น่าทำงาน รู้สึกผ่อนคลาย หรือถ้าจะไม่ขนาดนี้ เอาแค่ทำให้ออฟฟิศไม่มีกลิ่นเหม็น หรือ คอยดูแลเรื่องฝุ่นละออง เครื่องกรองอากาศ ให้พนักงานรู้สึกว่า เราใส่ใจสุขภาพเขานะ
เสียง : บางแห่งเปิดเพลงเบาๆ บางแห่งมีระบบเสียงตามสาย จัดดีเจสนุกๆ สร้างความคักคึกช่วงเที่ยง ช่วงเบรค บางแห่งมีห้องคาราโอเกะให้พนักงานกันเลยทีเดียว บางแห่งดูแลไม่ให้ออฟฟิศหนวกหูจนทำให้คนทำงานไม่มีสมาธิกับการทำงาน และบางแห่งก็มีเครื่องป้องกันไม่ให้เสียงจากเครื่องจักรหรือไลน์การผลิตทำร้ายแก้วหูของพนักงาน อันนี้ก็ลองพิจารณากันดูว่าบริษัทของเราเหมาะสมแบบไหน
3. จัดระบบการบริหารผลงานที่แฟร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอนที่สุด ในโลกนี้ไม่มีระบบใดเลยที่ตอบโจทย์ 100% แต่อย่างน้อยที่สุดก็ควรแยกให้ได้ว่า ใครมีผลงานดีจริงๆ ใครไม่ได้เรื่องเลย และควรได้รับผลตอบแทนที่สอดคล้องกัน ไม่เช่นนั้น คนเก่งๆ บ๊าย บาย แน่ๆ
4. สื่อสารทั่วถึงและเข้าถึงพนักงาน ผู้บริหารอาจมีภารกิจในระดับสูง เช่น บุกเบิกตลาดใหม่ นัดเจรจากับเจ้าของธุรกิจด้วยกัน ดูงานต่างประเทศ ฯลฯ แต่ท่านต้องแบ่งเวลาลงมาพูดคุย พบปะทีมงานของท่านบ้าง สังเกตสีหน้าของพนักงานของท่านบ้าง เขาดูอมทุกข์ไหม *ท่าทีในการสื่อสารควรมีทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ จะช่วยลดช่องว่างระหว่างกันและกัน **สำคัญมากคือ รับฟังแล้ว นำมาคิด มาทบทวนและปรับปรุงแก้ไขด้วย ไม่ใช่รับฟัง แต่ไม่ทำอะไรเลย เชื่อมั่นความคิดของตัวเองเป็นหลัก อย่างนี้คงไม่มีพนักงานคนไหนอยากคุย อยากแชร์อีกต่อไป
5. เปลี่ยนความเครียดเป็นความสนุก อย่าเพิ่มความกดดัน จนหน้าดำคร่ำเครียดทั้งออฟฟิศทุกวัน บรรยากาศแบบนั้น เป็นใครก็คงเกลียดวันจันทร์
6. ปรบมือชื่นชม ให้รางวัลคนทำสิ่งดีๆ เปลี่ยนจากจ้องจับผิดเป็นจ้องจับถูก แบบนี้ใครๆ ก็อยากมาทำงานแน่นอน
7. ทบทวนกฎระเบียบ นโยบาย กติกาการทำงาน รวมถึงสวัสดิการใหม่ให้เหมาะกับยุคสมัย บางทีสิ่งที่เคยเวิร์คเมื่อ 20 ปีที่แล้ววันนี้ถึงเวลาต้องปรับปรุงใหม่แล้วรึป่าว เพราะอย่างน้อยที่สุด พนักงานในบริษัทของเราก็เปลี่ยนมาตั้งเยอะแล้ว อาจจะเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น หรือหลากหลายมากขึ้นเป็นต้น
8. สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่สอดคล้องกับยุคสมัยและจริตของคนในองค์กร ถ้าวันนี้เรามีคนรุ่นใหม่มากขึ้น เราก็คงต้องเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความสามารถ ยึดหยุ่นให้มากขึ้น ค่อยๆ ลดระบบชนชั้นวรรณะ เพราะคนรุ่นใหม่เชื่อและศรัทธากับการสร้างผลงานด้วยความสามารถ ไม่ใช่ความอาวุโส หรืออายุงาน เป็นต้น
ช้านนนเกลียดวันจันทร์ pasamol
